การออกกำลังกายสำหรับโรคอัมพาตใบหน้า (Bell's Palsy)
ในปัจจุบัน ยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่นอนของการเกิดโรคแต่สันนิษฐานว่าเกิดจาการติดเชื้อไวรัสโดยเฉพาะเชื้อเริม
ของเส้นประสาทสมองคู่ที่ 7 ที่เรียกว่า
เส้นประสาทใบหน้า (facial nerve) ที่ควบคุมการทำงานของกล้ามเนื้อใบหน้าทำให้ไม่ทำงานชั่วคราว
ส่งผลให้กล้ามเนื้อใบหน้าครึ่งซีกด้านนั้นเป็นอัมพาต
และมักจะมีอาการแบบปัจจุบันทันด่วน เช่น
เมื่อตื่นนอนตอนเช้าก็พบว่าปากเบี้ยว หลับตาไม่สนิท แต่แขนขาทั้งสองข้างยังคงแข็งแรงเป็นปกติ
รวมไปถึง เมื่อตื่นมารู้สึกหน้าหนักๆ หลับตาไม่สนิท ตาแห้ง ทานน้ำมีน้ำไหลจากมุมปาก
บางรายมีลิ้นชาหรือหูอื้อๆ ร่วมด้วย
โดยทั่วไปอาการกล้ามเนื้อใบหน้าอ่อนแรงในแต่ละรายจะไม่เท่ากันขึ้นอยู่กับสาเหตุหรือการบวมอักเสบของเส้นประสาทที่ต่างกัน
ในบางรายที่มีอาการน้อย อาจไม่ต้องทำอะไรก็หายได้เองใน 2-3 สัปดาห์ สามารถแยกจากโรคหลอดเลือดสมองหรืออัมพฤกษ์ อัมพาต
โดยผู้ป่วยกลุ่มนี้จะมีอาการทางระบบประสาทอื่นร่วมด้วย ได้แก่
แขนขาอ่อนแรงข้างเดียวกับที่มีปากเบี้ยว มองเห็นภาพซ้อน เดินเซหรือมีอาการบ้านหมุน
พูดไม่ชัด เป็นต้น
สาเหตุและปัจจัยเสี่ยงของโรคอัมพาตใบหน้า
ปัจจุบันยังไม่ทราบว่า โรคอัมพาตใบหน้าเกิดจากสาเหตุใด
แต่จากการศึกษาต่างๆพบว่าอาจมีสาเหตุได้จาก
1. ประสาทใบหน้าติดเชื้อต่างๆ โดยเฉพาะไวรัสที่เป็นสาเหตุของโรคเริม หรือจากไวรัสที่เป็นสาเหตุของโรคอีสุกอีใส
โดยมักก่ออาการเมื่อร่างกายมีภูมิคุ้มกันต้านทานโรคต้านทานต่ำ
สาเหตุนี้เป็นสาเหตุที่แพทย์เชื่อกันมากที่สุด 2.
เป็นผลข้างเคียงของโรคบางโรค
ที่ส่งผลให้เกิดการอักเสบของเนื้อเยื่อต่างๆ เช่น โรคเบาหวาน หรือ
โรคความดันโลหิตสูง ซึ่งพบโรคจากสาเหตุเหล่านี้ได้น้อย
3. จากร่างกายสร้างสารภูมิต้านทานจากการติดเชื้อไวรัสต่างๆ
และภูมิต้านทานนี้ ส่งผลให้เกิดการการอักเสบบวมของประสาทใบหน้า
ปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคอัมพาตเบลล์
ได้แก่
1. คนท้อง โดยเฉพาะเมื่อมีครรภ์เป็นพิษ หรือเกิดโรคติดเชื้อระบบทางเดินหายใจ
2. มีประวัติครอบครัวเป็นโรคนี้
3.มีภาวะโรคเบาหวาน
4. พักผ่อนไม่เพียงพอ ร่างกายอ่อนแอ ภาวะเครียด ซึ่งสามารถส่งผลให้เกิดภาวะร่างกายมีภูมิคุ้มกันต้านทานโรคต่ำลง
การรักษาและหลีกเลี่ยงของโรคอัมพาตใบหน้า
1.การรักษาทางการแพทย์
1.1
การใช้ยา ปัจจุบันพบว่าการใช้ยากลุ่มสเตรียรอยด์ (steroid) ติดต่อกัน 7-10 วัน
ช่วยลดการบวมและอักเสบของเส้นประสาททำให้หายเร็วขึ้น ซึ่งหากได้รับการรักษาภายใน 1
สัปดาห์แรกหลังเกิดอาการ มักจะได้รับผลการรักษาที่ค่อนข้างดี
แพทย์อาจพิจาณาให้ยาต้านไวรัสร่วมด้วยในบางราย
เนื่องจากผู้ป่วยไม่สามารถหลับตาได้สนิทหรือเป็นแผลได้ง่าย การรักษาจึงรวมไปถึงการป้องกันภาวะแทรกซ้อนดังกล่าวด้วยการปิดตาหรือหยอดน้ำตาเทียม
1.2
การรักษาโดยการผ่าตัด
ศัลยแพทย์จะเข้ามามีบทบาทในเฉพาะกรณีที่มีอาการของโรครุนแรงและไม่หาย
คือผู้ป่วยยังคงมีอาการหลงเหลืออยู่นานเกิน 9 เดือนขึ้นไป
โดยเฉพาะในรายที่เป็นผลมาจากเส้นประสาทสมองคู่ที่ 7
ถูกทำลายหรือฝ่อลีบ เช่น ผ่าตัดแก้ไขหนังตาที่ปิดไม่สนิท
การต่อและเลี้ยงเส้นประสาทสมองคู่อื่นเพื่อนำมาใช้ทดแทนเส้นประสาทสมองคู่ที่ 7
2.
การรักษาทางกายภาพบำบัด ได้แก่ การออกกำลังการยกล้ามเนื้อใบหน้า (facial
exercise) เช่น ปิดตาแน่น ทำปากจู๋ ยักคิ้ว แก้มป่อง ยิงฟัน
หรือนวดหน้า เพื่อบริหารกล้ามเนื้อไม่ให้ฝ่อลีบ รวมไปถึงใช้การกระตุ้นไฟฟ้าเพื่อชะลอการฝ่อลีบของกล้ามเนื้อใบหน้าที่เป็นอัมพาตไม่ให้ลีบเล็กลง
การใช้ความร้อนประคบบริเวณใบหน้าที่มีอาการอ่อนแรงเป็นการกระตุ้นการไหลเวียนโลหิต
รวมทั้งการรักษาโดยใช้การออกกำลังกายกล้ามเนื้อใบหน้า
เพื่อฟื้นฟูกำลังกล้ามเนื้อในขณะที่รอการฟื้นตัวของเส้นประสาทในอนาคต
การรักษาด้วยการออกกำลังกายดังกล่าวถือเป็นวิธีการที่ปลอดภัย
ไม่มีผลข้างเคียงและเป็นการรักษาที่ผู้ป่วยสามารถช่วยทำได้บ่อย ๆ วันละหลายๆครั้ง
ท่าบริหารกล้ามเนื้อใบหน้า
ท่าที่
1
ให้ยักคิ้วขึ้นทั้งสองข้างโดยจะทำ
10 ครั้ง ทำซ้ำ 3 รอบ วันละ 3 ช่วงเวลา
ท่าที่
2 ให้ขมวดคิ้วเข้าหากันทั้งสองข้างโดยจะทำ
10 ครั้ง ทำซ้ำ 3 รอบ วันละ 3 ช่วงเวลา
ท่าที่
3 ให้ย่นจมูกเข้าหาหน้าผากโดยจะทำ
10 ครั้ง ทำซ้ำ 3 รอบ วันละ 3 ช่วงเวลา
ท่าที่
4 ให้ฝึกหลับตาแน่นๆ
(หลับตาปี๋)โดยจะทำ
10 ครั้ง ทำซ้ำ 3 รอบ วันละ 3 ช่วงเวลา
ท่าที่
5 ให้ฝึกทำจมูกบานโดยจะทำ
10 ครั้ง ทำซ้ำ 3 รอบ วันละ 3 ช่วงเวลา
ท่าที่
6 ให้ฝึกยิ้มโดยไม่ยกมุมปาก
(แสยะยิ้ม)โดยจะทำ
10 ครั้ง ทำซ้ำ 3 รอบ วันละ 3 ช่วงเวลา
ท่าที่
7 ให้ฝึกยิ้มยกมุมปากขึ้นโดยจะทำ
10 ครั้ง ทำซ้ำ 3 รอบ วันละ 3 ช่วงเวลา
ท่าที่
7 ให้ฝึกทำปากจู๋โดยจะทำ
10 ครั้ง ทำซ้ำ 3 รอบ วันละ 3 ช่วงเวลา
Comments
Post a Comment