เบาหวาน..ก็ออกกำลังกายได้





โรคเบาหวานเป็นโรคไม่ติดต่อเรื้อรังที่เป็นปัญหาสำคัญระดับประเทศ เป็นภาวะที่พบว่าผู้ป่วยจะมีระดับน้ำตาลในเลือดสูงมากกว่าปกติ หากไม่ได้รับการควบคุมการรับประทานอาหารและดูแลรักษาสุขภาพอย่างถูกวิธี ปล่อยให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้นเป็นเวลานาน จะนำไปสู่การเกิดภาวะแทรกซ้อนในหลายระบบของร่างกายได้ เช่น โรคแทรกซ้อนทางด้านตา โรคทางระบบเส้นเลือดและหัวใจ โรคทางระบบประสาท โรคแทรกซ้อนทางไต เป็นต้น(1) ดังนั้นผู้ป่วยเบาหวานควรพบแพทย์อย่างสม่ำเสมอและดูแลรักษาสุขภาพอย่างถูกวิธี

การออกกำลังกายเป็นอีกวิธีหนึ่งที่มีหลักฐานเชิงประจักษ์ทางการแพทย์รับรองว่ามีประโยชน์สำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวานเพราะการออกกำลังกายช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้เป็นไปตามเป้าหมายการรักษาได้


ประโยชน์ของการออกกำลังกายในผู้ป่วยเบาหวาน


-      ลดระดับน้ำตาลในเลือด เมื่อระดับน้ำตาลลดลงก็จะลดความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะแทรกซ้อน(5)
-      ลดภาวะดื้ออินซูลิน ทำให้ความไวต่ออินซูลินเพิ่มขึ้นและออกฤทธิ์ได้นานขึ้น(5)
-      ควบควบคุมน้ำหนัก
-      ลดระดับไขมันในเลือด
-      ลดระดับความดันโลหิต
-      ลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคกระดูกพรุน
-      เสริมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ เพิ่มการเคลื่อนไหวของข้อต่อส่วนต่าง ๆ ของการร่างกาย(5)
-      ลดความรู้สึกโดดเดี่ยว เพิ่มการสร้างสังคม เพิ่มความมั่นใจและความภาคภูมิใจ
-      ลดความเครียดจากการหลั่งของฮอร์โมน endorphin และ serotonin ในสมอง
-      ลดค่าใช้จ่ายในการรักษา เพราะเมื่อระดับน้ำตาลในเลือดลดลงผู้ป่วยจะใช้ยาน้อยลง

ประเภทของการออกกำลังกาย

การออกกำลังกายในผู้ป่วยเบาหวานพบว่ามีประโยชน์เนื่องจากกล้ามเนื้อส่วนต่าง ๆ ของร่างกายรวมถึงกล้ามเนื้อหัวใจจะทำงาน โดยเฉพาะการออกกำลังกายที่มีการใช้กล้ามเนื้อมัดใหญ่ (เช่น กล้ามเนื้อขา, สะโพก, ต้นแขน เป็นต้น)จะยิ่งเพิ่มการเผาผลาญน้ำตาลในร่างกายได้ดียิ่งขึ้น ประเภทของการออกกำลังกายที่แนะนำมี 3 ประเภท ดังนี้

1.การออกกำลังกายแบบแอโรบิค



การออกกำลังกายประเภทนี้ ได้แก่ การเดิน, การวิ่ง, การเต้นแอโรบิค, การปั่นจักรยาน เป็นต้น ในผู้ป่วยเบาหวานมีคำแนะนำให้ออกกำลังกายแบบแอโรบิค 150 นาทีต่อสัปดาห์(1, 3)สำหรับผู้ป่วยที่เริ่มต้นออกกำลังกายสามารถเริ่มจาก 10 นาทีต่อรอบ 3 รอบต่อวัน 5 วันต่อสัปดาห์ หากผู้ป่วยสามารถออกกำลังกายได้นานขึ้นอาจเพิ่มระยะเวลาการออกกำลังกายเป็น 30 นาทีต่อรอบ 1 รอบต่อวัน 5 วันต่อสัปดาห์ โดยให้ออกกำลังกายที่ความหนักระดับปานกลาง คือยังสามารถพูดคุยเป็นประโยคได้

2. การออกกำลังกายโดยใช้แรงต้าน
การออกกำลังกายแบบแรงต้านคือการใช้กล้ามเนื้อส่วนต่าง ๆ ของร่างกายเช่น ต้นแขน ต้นขา หัวไหล่ หน้าท้อง หน้าอก ทำการเกร็งโดยใช้น้ำหนักและแรงโน้มถ่วงของตัวเอง
ท่าที่ 1 นั่งบนเก้าอี้ให้เข่าอยู่ในท่างอ 90 องศา จากนั่งออกแรงเตะเข่าขึ้นให้ขาเหยียดตรงเท่าที่ทำได้ ทำ 8-10 ครั้ง 3 รอบต่อวัน ทำทั้งสองข้าง 2-3 วันต่อสัปดาห์

ท่าที่ 2 นั่งบนเก้าอี้ให้เข่าอยู่ในท่างอ 90° จากนั้นออกแรงงอสะโพกขึ้นสูงเท่าที่สามารถทำได้ โดยขณะงอสะโพกควรรักษาให้หลังตรงอยู่ตลอดทำ 8-10 ครั้ง 3 รอบต่อวัน ทำทั้งสองข้าง 2-3 วันต่อสัปดาห์




ท่าที่ 3 นั่งตัวตรงถือดัมเบลล์หรือขวดน้ำงอศอก 90° ออกแรงงอศอกขึ้นตามรูปทำ 8-10 ครั้ง 3 รอบต่อวัน2-3 วันต่อสัปดาห์

ท่าที่ 4 ยืนตัวตรงแขนแนบลำตัวพร้อมกับถือดัมเบลล์หรือขวดน้ำ จากนั้นออกแรงกางแขนโดยเหยียดศอกตรงทั้งสองพร้อมกัน ทำ 8-10 ครั้ง 3 รอบต่อวัน2-3 วันต่อสัปดาห์


3. การยืดเหยียดกล้ามเนื้อ
ท่าที่ 1 ยืนดังรูป นำขาข้างที่ต้องการยืดไว้ด้านหลังออกแรงดันกำแพงด้วยมือทั้งสองข้างจนรู้สึกตึงน่อง ยืดค้างไว้ 10-30 วินาที 2-4 ครั้ง

ท่าที่ 2 ยืนตัวตรงดังรูป ใช้มือพับเข่าข้างที่ต้องการยืด ให้รู้สึกตึงต้นขาด้านหน้า อีกมือหนึ่งจับเก้าเพื่อความมั่นคงยืดค้างไว้ 10-30 วินาที 2-4 ครั้ง

ท่าที่ 3 ยืนหรือนั่งตัวตรง พาดแขนดังรูป ให้รู้สึกตึงต้นแขนด้านหลังยืดค้างไว้ 10-30 วินาที 2-4 ครั้ง

ท่าที่ 4 ยืนตัวตรง เหยียดแขนสองข้างไปทางด้านหลังและประสานมือทั้งสองข้างดังรูป ให้รู้สึกตึงบริเวณหน้าไหล่ทั้งสองข้างยืดค้างไว้ 10-30 วินาที 2-4 ครั้ง


ข้อควรระวังขณะออกกำลังกาย
-ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ (Hypoglycemia)
สาเหตุที่เกิดภาวะน้ำตาลตกขณะออกกำลังกายมักเกิดจาก การใช้ยาที่มากเกินขนาด, ออกกำลังกายในช่วงที่ยาทำงานมากที่สุด, การฉีดยาเข้าบริเวณกล้ามเนื้อ (ผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่1), รับประทานคาร์โบไฮเดรตไม่เพียงพอก่อนออกกำลังกายอาการของภาวะนี้คือ ใจสั่น มือสั่น อ่อนเพลีย เหงื่อออกมาก วิตกกังวล สับสน มึนงง อยากอาหาร หากน้ำตาลต่ำมาก อาจเป็นลมหมดสติได้
-ภาวะขาดน้ำ (Dehydration)
มักพบในผู้ป่วยที่มีระดับน้ำตาลในเลือดมากกว่า 300 มก./ดล, โดยปกติแล้วร่างกายจะขับน้ำตาลในเลือดออกทางปัสสาวะหากน้ำตาลสูงจะทำให้ปัสสาวะบ่อยขึ้น เมื่อร่วมกับการออกกำลังกายที่มีการสูญเสียเหงื่ออาจทำให้เกิดภาวะนี้ได้ อาการของภาวะขาดน้ำ คือ กระหายน้ำ อ่อนเพลีย ตาแห้ง ผิวแห้ง ปากแห้ง เป็นต้น หากมีอาการดังกล่าวควรหยุดออกกำลังกายและดื่มน้ำทดแทนทันที เราสามารถป้องกันภาวะขาดน้ำได้โดยการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้เหมาะสมและดื่มน้ำให้เพียงพอ

คำแนะนำเพิ่มเติม

ควรเลือกสถานที่ออกกำลังกายที่เหมาะสม อากาศปลอดโปร่ง ไม่อับชื้น ไม่มีแดดจ้า หรือร้อนเกินไป เพราะอากาศที่ร้อนจะทำให้อินซูลินทำงานได้ดีขึ้นเสี่ยงต่อภาวะน้ำตาลตก (Hypoglycemia) ได้
ควรเลือกรูปแบบการรออกกำลังกายให้เหมาะสม เช่น หากมีอาการปวดเข่าไม่ควรเลือกการออกกำลังกายที่มีการกระโดดหรือการออกกำลังกายที่มีแรงกระแทกต่อข้อเข่ามากนัก อาจต้องเปลี่ยนเป็นการเดินหรือวิ่งในน้ำ เป็นต้น
ระมัดระวังอย่าให้เกิดแผล ควรใส่ถุงเท้าและรองเท้าที่เหมาะสมในกันออกกำลังกาย เนื่องจากหากผู้ป่วยเบาหวานที่มีระดับน้ำตาลในเลือดสูงจะทำให้แผลหายช้าได้


Comments

Popular posts from this blog

โรคหลอดเลือดสมอง(STROKE) รู้ก่อนคือรอดดด!!

การออกกำลังกายสำหรับโรคอัมพาตใบหน้า (Bell's Palsy)