ทำอย่างไรเมื่อปวดเอว?
ปวดเอว (Flank
Pain) คืออาการปวดหรือไม่สบายบริเวณท้องด้านบน
หลัง หรือด้านข้าง โดยจะเกิดอาการปวดตรงใต้ซี่โครงและเหนือกระดูกเชิงกราน
และมักเกิดอาการปวดที่หลังส่วนล่าง ทั้งนี้ ผู้ป่วยอาจรู้สึกปวดทื่อ ๆ
หรือปวดอย่างรุนแรง
ซึ่งอาการดังกล่าวอาจเกิดขึ้นที่เดียวหรือลามไปส่วนอื่นตามร่างกายก็ได้
ซึ่งอาการจะเป็น ๆ หาย ๆ โดยทั่วไปแล้ว
อาการปวดเอวมักเป็นสัญญาณของโรคเกี่ยวกับทางเดินปัสสาวะ เช่น นิ่วในไต
หรือการติดเชื้อที่ไต
สาเหตุของอาการปวดเอว
แบ่งได้เป็น 3 สาเหตุหลักด้วยกัน คือ
1.
เนื่องมาจากไตอักเสบ หรืออาจมีนิ่วที่ไต
มักจะมีอาการอย่างอื่นร่วมด้วย เช่น มีไข้ เวลาปัสสาวะอาจมีแสบ ขัด ขุ่น
ถ้าเคาะเบาๆ ที่เอวด้านที่ปวดจะเจ็บมากจนทนไม่ไหว
2.
เกิดจากกระดูกสันหลัง
หรือหมอนรองกระดูกสันหลังที่เอวเคลื่อนกดทับเส้นประสาท หรือกระดูกสันหลังเคลื่อน
เมื่อกระดูกสันหลังเสื่อมและเสียความมั่นคงแข็งแรงไป
จะทำให้กระดูกสันหลังเคลื่อนได้ ส่งผลให้เกิดอาการปวดหลังปวดเอวเมื่อมีการขยับ
และอาจมีการปวดร้าวลงขาได้เมื่อมีการกดทับเส้นประสาท
3.
เกิดจากกล้ามเนื้อหลังผิดปกติ จากท่าทาง อิริยาบถ
การเคลื่อนไหวร่างกาย และการใช้งานกล้ามเนื้อหลังที่ไม่ถูกต้องเป็นเวลานาน
มักเกิดจากการทำงานก้มๆ เงยๆ ยกของหนัก นั่ง ยืน นอน หรือยกของในท่าที่ไม่ถูกต้อง
การใส่รองเท้าส้นสูงมากเกินไป นั่งเล่นเกมหรือทำงานนานเกินไป
หรือนอนที่นอนนุ่มเกินไปทำให้เกิดแรงกดตรงกล้ามเนื้อสันหลังส่วนล่าง
ซึ่งจะมีอาการเกร็งตัวของกล้ามเนื้อหลัง ส่งผลให้เกิดอาการปวดตรงกลางหลังส่วนล่าง
รวมถึงคนที่มีน้ำหนักตัวมากหรือหญิงที่กำลังตั้งครรภ์ ก็อาจมีอาการปวดลักษณะนี้ได้
เชื่อว่าอาการปวดหลัง ปวดเอว ปวดสะโพก
หรือบริเวณหลังส่วนล่างเป็นกันเกือบทุกคน โดยเฉพาะพนักงานออฟฟิศที่ต้องนั่งทำงานอยู่ในท่าเดิมๆ
เป็นประจำทุกวัน แต่ก็มักเห็นหลายคนใช้วิธีคลายอาการปวดเมื่อยแบบผิดๆ อยู่เสมอ
เช่น การทุบแรงๆ ในบริเวณที่ปวดบ้างละ บิดตัวไปมาบ้างละ
นอกจากจะไม่ทำให้อาการปวดน้อยลงแล้ว ยิ่งเพิ่มความบอบช้ำของกล้ามเนื้อขึ้นไปอีกโดยไม่รู้ตัว
เราสามารถลดอาการปวดเมื่อยต่างๆ เหล่านี้ได้เพียงแค่บริหารกล้ามเนื้อหลังส่วนล่าง แต่ต้องทำเป็นประจำทุกวันจะยิ่งส่งผลดีในระยะยาว
แต่หากใครรู้สึกว่าอาการปวดเมื่อยเรื้อรังไม่หาย ก็ควรรีบไปตรวจเช็คอาการกับแพทย์และนักกายภาพบำบัดเพื่อหาสาเหตุที่แท้จริง
และทำการรักษาอย่างตรงจุดและถูกวิธี จะเป็นทางออกที่ดีที่สุด
ท่าออกกำลังกายเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อหลัง
ท่าที่
1
นอนคว่ำ ชูแขนและไหล่ให้พ้นพื้น ค้างไว้นาน 5 วินาที
ยกไหล่ซ้ายและขาด้านตรงข้ามขึ้นพร้อมกันค้างไว้นาน 5
วินาที ทำ 20-30 ครั้งต่อวัน
ท่าที่
2
นอนคว่ำราบลงกับพื้นโดยจัดลำตัวให้ตรง ค่อยๆ เหยียดข้อศอกขึ้นให้ตรง
พยายามไม่ให้สะโพกลอยจากพื้น ค้างไว้นาน 10 วินาที ทำซ้ำ 20-30 ครั้ง
ท่าที่
3
ยืนตรงมือเท้าเอวค่อยๆ
แอ่นหลังค้างไว้ 10 วินาที ทำซ้ำ 20-30 ครั้ง
การยืดเหยียดกล้ามเนื้อหลัง
ท่าที่
1
ยืดเข่าคู่ชิดอก
ท่านี้จะช่วยคลายอาการปวดเมื่อย
อาการปวดตึงตั้งแต่ต้นคอ หัวไหล่ แผ่นหลัง เอว ขา เข่า แถมยังเป็นการนวดอวัยวะภายในช่องท้อง
ช่วยให้ระบบขับถ่ายทำงานได้ดีขึ้นด้วย
นอนราบกับที่นอน งอเข่าขวาขึ้น ขาซ้ายปล่อย
วางราบกับพื้น ใช้มือทั้งสองข้างรวบหน้าขาไว้ แล้วค่อยๆ
ดึงให้หัวเข่าเข้ามาชิดหน้าอกให้ได้มากที่สุด ค้างไว้30
วินาที แล้วปล่อยเข่าขวาลง ทำสลับกับขาซ้ายเช่นกัน
ท่าที่
2 ท่าบิดสะโพก
ท่านี้ช่วยคลายปวดเมื่อย แผ่นหลังช่วงล่าง
จากการยืดและบิดกระดูกสันหลัง บางครั้งคุณอาจจะได้ยินเสียงกระดูกลั่นเบาๆ
แต่หลังจากยืดเหยียดท่านี้แล้ว จะรู้สึกสบายตัวโดยเฉพาะบริเวณแผ่นหลังช่วงเอว
นอนราบนที่นอน กางแขนออก
คว่ำฝ่ามือราบกับที่นอนงอเข่าขึ้นพร้อมกันทั้งสองข้าง
แล้วบิดร่างกายท่อนล่างไปทางด้านซ้าย ค้างไว้ 30 วินาที แล้วบิดกลับมาตั้งตรง ทำสลับข้าง
การจัดท่าทางเพื่อลดอาการปวดหลัง
การนอน
1.ท่านอนตะแคงข้างก่ายหมอน
นอนตะแคงมาข้างที่ถนัด หนุนหมอนที่ศีรษะตามปกติ
งอเข่าทั้งสองข้างและวางหมอนหนุนไว้ระหว่างขาทั้งสองข้าง
เพื่อป้องกันไม่ให้เข่าที่อยู่ด้านบนแตะที่นอน
มิเช่นนั้นกระดูกสันหลังส่วนล่างจะพลิก ซึ่งก่อให้เกิดอาการปวดหลังและสะโพกได้
2.
ท่านอนหงายหมอนหนุนเข่า
นอนหงายหนุนหมอนที่ศีรษะ ปล่อยตัวตามสบายโดยวางหมอนหนุนอีกใบไว้ใต้หัวเข่าทั้งสองข้าง
เพื่อช่วยรักษาความโค้งของกระดูกสันหลังส่วนล่าง
ท่านี้เหมาะสำหรับผู้มีอาการปวดหลังที่ไม่รุนแรงมากนัก
3.
นอนคว่ำหนุนหมอนหน้าท้อง
หากคุณไม่สามารถนอนท่าอื่นๆ ได้ และจำเป็นต้องนอนคว่ำ
ให้นอนหนุนหมอนบริเวณช่วงคอและหน้าอกส่วนบน โดยหันใบหน้าไปด้านใดด้านหนึ่ง
และนำหมอนหนุนอีกใบวางไว้ใต้บริเวณสะโพก เพื่อผ่อนคลายความตึงของแผ่นหลัง
และหากยังรู้สึกตึงหรือเจ็บปวดอยู่ให้นำหมอนหนุนที่ศีรษะออก
-การลุกจากที่นอน
1.
นอนหงายงอเข่าขึ้นมาก่อน
2.
พลิกตะแคงตัวขณะที่เข่ายังงออยู่
3.
ใช้ข้อศอกและมือยันตัวขึ้น พร้อมกับห้อยเท้าทั้งสองข้างลงจากเตียง
ท่าลงนอนให้ทำในทางกลับกัน
-การนั่ง
-ควรนั่งให้สุดกับที่รองก้น หลังตรงพิงสนิทกับพนักพิง
เท้าวางบนพื้นเต็มเท้า (ควรมีที่พักเท้า ถ้าเท้าไม่ถึงพื้น)
-การนั่งทำงาน ควรนั่งหลังตรง มีหมอนรองหลัง
-การนั่งขับรถ ควรนั่งให้เข่าสูงกว่าสะโพก โดยเลื่อนที่นั่งให้ใกล้พวงมาลัย
ควรมีหมอนรองให้หลังแอ่นเล็กน้อย
-การยืน
ถ้าต้องยืนนานๆควรมีที่พักเท้า
เพื่อยกเท้าขึ้นสลับกันที่ละข้างให้สะโพกและเข่างอจะทำให้กระดูกสันหลังตรง
-การยกของ
-
ย่อตัว วางเท้าที่ถนัดไปข้างหน้า แขนแนบลำตัว หลังเหยียดตรง
-
ยกของขึ้นแนบลำตัว ลุกขึ้นด้วยกำลังขา พยายามให้หลังเหยียดตรง
-
ยืนตรง
การป้องกันและลดอาการปวดหลัง
1.
ปฏิบัติกิจวัตรประจำวันด้วยท่าทางที่ถูกต้อง
2.
หลีกเลี่ยงการอยู่ในท่าใดท่าหนึ่งเป็นเวลานาน ๆ ควรเปลี่ยนท่าทุกๆ
30 นาที เช่น ขณะนั่งทางานควรลุก หรือ ขยับตัวบ้าง หรือขณะยืนทำงานควรนั่งพักบ้าง
3.
หลีกเลี่ยงการยกของหนักเกินกำลังหรือการก้มโค้งยกของ
4.
ควบคุมน้ำหนักตัวไม่ให้อ้วน
5.
ออกกำลังกายสม่ำเสมอ เช่น วิ่ง ว่ายน้า รำมวยจีน แต่ควรเลือกให้เหมาะสมกับวัยและไม่ควรหนักเกินไป
ควร ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ แม้ไม่มีอาการปวดหลัง เพื่อให้กล้ามเนื้อและข้อต่อมีความแข็งแรง
มีความ ยืดหยุ่นและทนทาน เป็นการป้องกันอาการปวดหลงได้เป็นอย่างดี
6. ควรปรึกษาแพทย์หรือนักกายภาพบาบัดเพื่อรับการรักษาหรือคำแนะนาที่ถูกต้องตั้งแต่เริ่มมีอาการ
หรือสังเกตเห็นถึงความผิดปกติ
https://www.betacalplusthailand.com/
ReplyDelete