ปวดคอ..แก้ได้โดยไม่ต้องใช้ยา




อาการปวดคอเป็นอาการที่พบได้บ่อยรองลงมาจากอาการปวดหลัง สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกเพศ ทุกวัยไม่ใช่แค่ผู้สูงอายุเท่านั้น เนื่องจากคอเป็นอวัยวะที่บอบบางและต้องทำงานหนักอยู่ตลอดเวลา คอเป็นอวัยวะที่เชื่อมระหว่างศีรษะกับลำตัว ประกอบไปด้วยกระดูกต้นคอ 7 ชิ้น เส้นประสาทคอ กล้ามเนื้อ เส้นเลือด และเป็นทางผ่านของหลอดลมและหลอดอาหาร การที่คอเคลื่อนไหวได้ก็อาศัยกล้ามเนื้อคอและการเคลื่อนไหวของกระดูกคอทั้ง 7 ชิ้นนี้ กระดูกคอจะทำหน้าที่ห้อมล้อมไขสันหลังและมีช่องระหว่างกระดูกคอให้เส้นประสาทผ่านออกมาเลี้ยงกล้ามเนื้อ



 สาเหตุของการปวดคอที่พบได้บ่อย

1. อริยาบทหรือท่าทางที่ผิดปกติ เช่น การก้มคอทำงานทั้งวัน (เช่น งานเขียนหนังสือ พนักงานออฟฟิศ) การทำงานที่ต้องแหงนคอทำนาน ๆ การนอนหมอนสูงเกินไป จะทำให้กล้ามเนื้อคอทำงานมากเกินไป เกิดอาการอ่อนล้าและเจ็บปวดได้
2. ภาวะคอเคล็ด เป็นภาวะที่คอมีการเคลื่อนไหวผิดทิศทางอย่างรวดเร็วและรุนแรง (เช่น จากอุบัติเหตุรถชนกัน) เป็นผลให้กล้ามเนื้อหรือเอ็นบริเวณคอมีการยืดอย่างมาก หรืออาจมีการฉีกขาดของกล้ามเนื้อ ทำให้กล้ามเนื้ออักเสบ หดเกร็ง เกิดอาการปวดได้
3. ภาวะกระดูกคอเสื่อม เป็นภาวะที่พบได้บ่อยมาก โดยเฉพาะในผู้สูงอายุ กระดูกคอถูกใช้งานมานานตั้งแต่เกิดจะมีการเสื่อมของข้อกระดูก ทำให้เกิดอาการปวดคอเรื้อรัง ในบางรายอาจมีกระดูกงอกไปกดปลายประสาท ทำให้เกิดอาการชาหรืออ่อนแรงของแขนได้
4. ภาวะกระดูกคออักเสบ โรคข้ออักเสบบางชนิด เช่น โรครูมาตอยด์ และโรคข้อกระดูกสันหลังอักเสบติดยึด อาจทำให้ข้อต่อของกระดูกคออักเสบได้
5. ภาวะเครียด พบว่าในปัจจุบันความเครียดจากการทำงาน ทำให้ไม่มีการพักผ่อนที่เพียงพอ อาจทำให้มีการเกร็งของกล้ามเนื้อคอเป็นเวลานาน เกิดการปวดคอได้
6. อาการปวดคอที่เป็นอาการปวดร้าวมาจากอวัยวะอื่น ๆ โรคบางชนิด เช่น กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดอาจมีอาการปวดร้าวมาที่บริเวณลำคอได้


การรักษาและหลีกเลี่ยงภาวะปวดคอ


1. ระวังและหลีกเลี่ยงอริยาบทหรือท่าทางต่าง ๆ ที่ต้องมีการก้มและเงยคอบ่อย ๆ เมื่อมีอาการเมื่อยคอ ควรหยุดพักและบริหารกล้ามเนื้อคอประมาณ 2-3 นาที
2. ใช้กระเป๋าน้ำร้อนหรือผ้าชุบน้ำร้อนประคบบริเวณคอ จะช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อหดเกร็งบริเวณคอได้
3. อาจรับประทานยาแก้ปวด เช่น พาราเซตามอลหรือแอสไพริน เพื่อช่วยระงับอาการปวด ถ้าหากว่ารับประทานยาแล้ว 5-7 วัน อาการไม่ดีขึ้นควรปรึกษาแพทย์
4. ในรายที่มีอาการปวดเรื้อรัง การทำกายภาพบำบัด การใช้ปลอกคอ การใช้เครื่องอบไฟฟ้า และเครื่องช่วยนวด จะช่วยผ่อนคลายความเจ็บปวดได้
5. การบริหารกล้ามเนื้อคอเป็นส่วนสำคัญที่สุดในการรักษาอาการปวดคอ เพราะจะช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งของกล้ามเนื้อคอ การบริหารกล้ามเนื้อคอควรทำทุกวัน
6. หาทางออกกำลังกายหรือทำงานอดิเรกเพื่อผ่อนคลายความเครียด

ท่าบริหารคอเพื่อเพิ่มความแข็งแรง


ท่าที่ 1  ก้มหน้า ใช้มือประสานกันที่หน้าผาก  ออกแรงต้านกับแรงที่พยายามจะก้มหน้าค้างไว้ 10 วินาที เซตละ 10 ครั้ง วันละ 3 รอบ


ท่าที่ 2  เงยหน้า ใช้มือประสานกันบริเวณท้ายทอย  ออกแรงต้านกับแรงที่พยายามจะเงยหน้าค้างไว้ 10 วินาที เซตละ 10 ครั้ง วันละ 3 รอบ


ท่าที่ 3 เอียงคอขวาและซ้าย  ใช้มือขวาวางทางด้านข้างของศีรษะออกแรงต้านกับแรงที่พยายามจะเอียงคอมาทางขวาทำสลับกันโดยใช้มือซ้ายต้านการเอียงคอมาทางซ้ายค้างไว้ 10 วินาที เซตละ 10 ครั้ง วันละ 3 รอบ



ท่าที่ 4  หันหน้าขวาและซ้าย  ใช้มือขวาวางบริเวณแก้มด้านขวาออกแรงต้านกับแรงที่พยายามจะหันหน้าไปทางขวาค้างไว้ 10 วินาที เซตละ 10 ครั้ง วันละ 3 รอบ
  


ท่าที่ 5 การออกกำลังกายกล้ามเนื้อช่วยก้มคอมัดลึก ในท่านอนหงาย นอนหงายงอเข่าเล็กน้อย ถ้าหากไม่สบายคอหรือศีรษะสามารถนำผ้ามารองใต้ศีรษะได้ นำมือมาสัมผัสกล้ามเนื้อลำคอด้านหน้า พยายามเหลือบตามองปลายเท้า กดปลายคางลงหาเตียง โดยต้องไม่ให้กล้ามเนื้อลำคอด้านหน้าเกร็งขึ้นมาทำค้างไว้ 10 วินาที ทำซ้ำ 10 ครั้ง


การยืดเหยียดกล้ามเนื้อคอ

กล้ามเนื้อคอและบ่า
นั่งตัวตรง ตะแคงศีรษะไปด้านขวาช้าๆ ใช้มือขวาช่วยกดศีรษะเบาๆ จนรู้สึกตึงบริเวณกล้ามเนื้อบ่า และคอด้านซ้าย ค้างไว้นับ 1-10 ทำซ้ำ 5-10 ครั้ง แล้วสลับข้าง



กล้ามเนื้อต้นคอ และหลังส่วนบน
ใช้มือขวาโอบจับศีรษะทางด้านซ้ายแล้วดึงศีรษะเอียงมาทางด้านขวา นับ 1-10 ทำซ้ำ 5-10 ครั้ง แล้วสลับข้าง


กล้ามเนื้อคอด้านหน้า
เอียงศีรษะไปด้านขวา และใช้มือขวาดึงศีรษะลงช้าๆ จนศีรษะแหงนขึ้นเล็กน้อย รู้สึกตึงบริเวณคอด้านหน้าทางซ้าย ค้างไว้นับ 1-1- ทำซ้ำ 5-10 ครั้งแล้วสลับข้าง


กล้ามเนื้อคอด้านหลัง
ใช้มือประสานกันบริเวณท้ายทอยแล้วดึงศีรษะลงในท่าก้ม ค้างไว้นับ 1-1- ทำซ้ำ 5-10 ครั้ง


การปรับท่าทางของคอให้เหมาะสม

การมีท่าทางที่ถูกต้องทั้งในขณะทำงานหรือในชีวิตประจำวัน สามารถลดอัตราเสี่ยงต่อการบาดเจ็บในอนาคตและป้องกันการเกิดปัญหาปวดคอ ท่าที่ถูกต้องคือคอและไหล่จะต้องตรงกันในแนวดิ่งดังแสดงในรูป ก. ไม่สร้างภาระให้กล้ามเนื้อคอทั้งทางด้านหน้าและหลังทำงานมากเกินไปในการทรงท่า














Comments

Popular posts from this blog

โรคหลอดเลือดสมอง(STROKE) รู้ก่อนคือรอดดด!!

เบาหวาน..ก็ออกกำลังกายได้

การออกกำลังกายสำหรับโรคอัมพาตใบหน้า (Bell's Palsy)